การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนและความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ จึงเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความร่วมมือให้การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น นานาประเทศได้ร่วมกันตั้งเป้าหมายร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อควบคุมการเพิ่มของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส จึงมีการออกนโยบายและกฎหมายเพื่อส่งเสริมให้มีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในหลายประเทศรวมถึงในสาธารณรัฐประชาชนจีน เช่น ระบบการซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading Scheme: ETS) การจำกัดปริมาณการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตพลังงาน การส่งเสริมการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น ซึ่งเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสที่สำคัญของบริษัทฯ
บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจการผลิตไฟฟ้าและพลังงาน จึงมีการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงในการผลิตโดยตรง บริษัทฯ จึงมุ่งเน้นการดำเนินงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (Scope 1) จากการใช้เชื้อเพลิงต่าง ๆ เป็นหลัก ซึ่งคิดเป็นกว่าร้อยละ 99 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ เป็นธุรกิจต้นน้ำในการผลิตกระแสไฟฟ้าและพลังงานอื่น ๆ เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมและที่อยู่อาศัย
บริษัทฯ มองเห็นโอกาสและศักยภาพในการลดก๊าซเรือนกระจกด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต ศึกษาเพื่อใช้เชื้อเพลิงทดแทนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก และมองหาโอกาสในการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน เทคโนโลยีและการใช้พลังงานอย่างชาญฉลาดตามกลยุทธ์หลัก Greener & Smarter
บริษัทฯ ได้มีการติดตามการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายและประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมการปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านกายภาพและการเปลี่ยนแปลงนโยบายและกฎหมายในประเทศต่าง ๆ ดังนั้น บริษัทฯ จึงต้องมีการปรับตัว เช่น นำระบบการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจมาใช้ ประเมินความเสี่ยง ผลกระทบ และโอกาสที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้มีแนวทางสอดคล้องกับการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ (Task Force on Climate-related Financial Disclosures: TCFD) รวมถึงกำหนดราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาการลงทุนในโครงการต่าง ๆ
บริษัทฯ มีคณะทำงานที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกับกลุ่มบ้านปูเพิ่มเติมในปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมี 3 คณะทำงานได้แก่
สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ทยอยประกาศกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการใช้พลังงาน การปล่อยก๊าซเรือนกระจก และควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่อตอบสนองต่อนโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามที่ได้ประกาศเป้าหมายในการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally determined contributions: NDCs) ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนั้นจึงได้มีการวางแผนและผลักดันโครงการพลังงานสะอาดในระดับท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง

โรงไฟฟ้าเจิ้งติ้งได้ดำเนินโครงการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองต่อนโยบายและการเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงปรับตัวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้พลังงาน ตลอดสามปีที่ผ่านมาโรงไฟฟ้าเจิ้งติ้งได้ดำเนินโครงการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อาทิ
- โครงการควบคุมไอเสียที่ปล่อยจากปล่องและลดการสูญเสียความร้อน โดยศึกษาการออกแบบทางวิศวกรรมให้มีการใช้ปั๊มความร้อน (Heat pump) ในการแลกเปลี่ยนความร้อนแทนการก่อสร้างเครื่องกลั่นไอน้ำ สามารถแยกไอน้ำที่ผสมกับไอเสียและควบคุมการเกิดควันขาว อีกทั้งยังสามารถนำความร้อนจากไอเสียกลับมาใช้ใหม่ได้ ใช้งบประมาณลงทุนในการก่อสร้างราว 5 ล้านหยวน มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานราว 2.4 ล้านหยวน/ปี ประโยชน์จากโครงการ อาทิ
- นำความร้อนกลับใช้ในระบบราว 14 เมกะวัตต์ ครอบคลุมพื้นที่การจ่ายความร้อนแก่ชุมชนเพิ่มราว 340,000 ตารางเมตร หรือราว 5,000 ครัวเรือน คิดเป็นรายได้ราว 56 ล้านหยวน/ปี
- สามารถนำน้ำที่เกิดจากการควบแน่นกลับมาใช้ใหม่ได้ทั้งหมด ลดการใช้น้ำใต้ดินราว 130,000 ตัน/ปี
- ลดปริมาณการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และฝุ่นละอองลงได้ราวร้อยละ 30
- ลดการใช้พลังงานส่งผลให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 41,000 ตัน/ปี
- ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในร้อยโครงการนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อมดีเด่นในปี 2563 (Top 100 Eco-environmental Innovation Projects in 2020)
- ระบบตรวจสอบและควบคุมอัจฉริยะสถานีแลกเปลี่ยนความร้อน ใช้เงินลงทุนราว 4.1 ล้านหยวน ในการลงทุนติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับสัญญาณอาทิ อุณหภูมิ ความดัน และอัตราการไหล รวมถึงพัฒนาระบบตรวจสอบและควบคุมจากระยะไกล ทำให้สามารถตรวจสอบการดำเนินงานและควบคุมได้อย่างรวดเร็ว ลดการใช้กำลังคน ทำให้สามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้ราวร้อยละ 18.4 หรือลดอัตราการใช้ไฟฟ้าลง 0.36 กิโลวัตต์-ชั่วโมง/ตารางเมตร จาก 96 กิโลวัตต์-ชั่วโมง/ตารางเมตร เป็น 1.6 กิโลวัตต์-ชั่วโมง/ตารางเมตร คิดเป็นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 0.34 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า/ตารางเมตร คิดเป็นมูลค่าจากการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานราวปีละ 864,000 หยวน/ปี
- ดำเนินการโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนการดักจับคาร์บอนมาใช้ในในภาคอุตสาหกรรม โดยได้ดำเนินการศึกษาเสร็จสิ้นในปี 2564 และอยู่ในระหว่างการศึกษาเพื่อดำเนินการก่อสร้าง โดยคาดว่าจะสามารถดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 100,000 ตัน หรือราวร้อยละ 10 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดจากโรงไฟฟ้าเจิ้งติ้ง โดยสามารถนำไปขายให้กับโรงงานอุตสาหกรรมในบริเวณข้างเคียงที่ใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิตสินค้า
- ดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป เพื่อตอบรับกับนโยบายของภาครัฐที่ได้มีการผลักดันให้เกิดโครงการพลังงานสะอาดในท้องถิ่นเพิ่มขึ้น โดยโรงไฟฟ้าเจิ้งติ้งได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ดำเนินการโครงการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป โดยตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาของสถานที่ราชการ โรงงาน และชุมชนทั้งหมดรวม 167 เมกะวัตต์ ภายในปี 2566 คาดว่าสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ราว 200,000 เมกะวัตต์-ชั่วโมง/ปี ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ราว 119,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า/ปี
ด้านการจัดการความเสี่ยงด้านการดำเนินงานผลิต
บริษัทฯ มีการนำระบบการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management System: BCMS) เข้ามาใช้ในในการเตรียมความพร้อมหากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้การดำเนินธุรกิจต้องหยุดชะงัก เช่น จากภัยธรรมชาติ และโรคระบาด บริษัทฯ ก็จะยังสามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ และบริการให้กับลูกค้าและผู้มีส่วนได้เสียต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที
ด้านการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบด้านพลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
บริษัทฯ มีหน่วยงานที่คอยติดตามตรวจสอบ และคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบในทุกพื้นที่ที่เปิดดำเนินการทั้งในระดับท้องถิ่น และจากหน่วยงานกลาง เพื่อที่จะสามารถปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่มีความเข้มข้นขึ้น ขณะเดียวกันก็มองหาโอกาสในการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนที่ภาครัฐให้การสนับสนุนมากยิ่งขึ้น
บริษัทฯ ได้นำการกำหนดราคาคาร์บอนในบริษัทฯ (Internal Carbon Prices) ซึ่งจะมีการกำหนดราคาต้นทุนของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในพื้นที่ต่างๆ เพื่อนำมาเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุน ในการวิเคราะห์ความคุ้มค่าในการลงทุนและความเป็นไปได้ในการลงทุนในโครงการใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น ให้ความสำคัญกับโครงการที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ รวมถึงเป็นปัจจัยที่จะทำให้การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัทฯ เป็นไปตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ และเพื่อเตรียมความพร้อมและปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงด้านกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ในการใช้กฎหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

บริษัทฯ มีการประเมินเบื้องต้นด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ (Scope 3) ซึ่งมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน ดังนี้
