ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สถานการณ์ความเสี่ยงด้านน้ำทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในอนาคต ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงในการผลิตไฟฟ้า เนื่องจากน้ำเป็นปัจจัยในการผลิตที่สำคัญในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน โดยน้ำถูกนำมาใช้ในกระบวนการผลิต อาทิ ไอน้ำในหม้อต้ม ควบคุมอุณหภูมิในระบบหล่อเย็น รวมถึงควบคุมคุณภาพอากาศ
การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตและน้ำปล่อยออกที่มีประสิทธิภาพทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณจะช่วยลดผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมจากการขาดแคลนน้ำและคุณภาพน้ำ อีกทั้งลดความเสี่ยงของบริษัทฯ ในด้านต้นทุนการผลิต การปฏิบัติตามกฎหมาย และความสัมพันธ์กับชุมชน
เนื่องจากแหล่งน้ำของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมในจีนใช้น้ำใต้ดินและน้ำจากผู้ผลิตภายนอกในกระบวนการผลิตไอน้ำ การบริหารจัดการจึงมุ่งเน้นการนำกลับมาหมุนเวียนใช้ซ้ำให้ได้มากที่สุด เพื่อลดปริมาณน้ำปล่อยออกและมีคุณภาพตามที่กฎหมายกำหนด และกำหนดเป้าหมายอัตราการใช้น้ำต่อหน่วยผลิตภัณฑ์ไม่เกิน 0.868 ลบ.ม./ เมกะวัตต์-ชั่วโมง/ ปี ระหว่างปี 2564-2568 และคุณภาพน้ำปล่อยออกทุกแห่งต้องเป็นไปตามค่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนด โดยบริษัทฯ ดำเนินการภายใต้นโยบายการบริหารจัดการน้ำ ได้แก่
บ้านปู เพาเวอร์ ประเมินความเสี่ยงในการขาดแคลนน้ำจากตำแหน่งพื้นที่ตั้งของทุกหน่วยธุรกิจเป็นประจำทุกปี โดยให้ความสำคัญกับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนเนื่องจากมีความต้องการปริมาณน้ำในกระบวนการผลิตสูง บริษัทฯ อ้างอิง WRI Aqueduct Water Risk Atlas (Aqueduct 4.0) ซึ่งเป็นโปรแกรมแสดงการจัดจำแนกพื้นที่ที่มีความเสี่ยงด้านทรัพยากรน้ำทั้งด้านกายภาพทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ (Physical Quantity and Quality) ความเสี่ยงทางด้านกฎหมายและชื่อเสียง (Regulatory & Reputational Risks) และคาดการณ์ความเสี่ยงในอนาคต
จากการประเมินในปี 2566 โดยใช้ข้อมูลพื้นที่ที่มีความเสี่ยงขาดแคลนน้ำในปัจจุบันและคาดการณ์ในปี 2573 พบว่า โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมทั้ง 3 แห่งที่บริษัทฯ มีอำนาจในการบริหารจัดการโดยตรงในจีนตั้งอยู่ ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงด้านทรัพยากรน้ำระดับสูงมาก ได้ดำเนินการปรับปรุงเพื่อลดปริมาณการใช้น้ำและปริมาณน้ำปล่อยออกให้เป็นไปตามที่ภาครัฐกำหนด และส่วนต่อขยายของโรงไฟฟ้าได้ติดตั้งระบบรีไซเคิลเพื่อให้สามารถนำน้ำกลับมาใช้ได้ทั้งหมด สำหรับโรงไฟฟ้า Temple I & II ในสหรัฐอเมริกา พบว่า โรงไฟฟ้ามีความเสี่ยงด้านทรัพยากรน้ำโดยรวมสูงขึ้น และมีความเสี่ยงด้านการขาดแคลนน้ำปานกลางถึงสูง ทั้งนี้โรงไฟฟ้าได้มีการติดตั้งระบบรีไซเคิลน้ำใช้ในโรงไฟฟ้า ทำให้สามารถลดการใช้ทรัพยากรน้ำในพื้นที่และไม่มีการปล่อยน้ำ เสียออกสู่ภายนอก
ในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุน ได้แก่ โรงไฟฟ้าบีแอลซีพีในไทยและโรงไฟฟ้าเอชพีซีใน สปป.ลาว พบว่า โรงไฟฟ้าบีแอลซีพีมีความเสี่ยงด้านการขาดแคลนน้ำในระดับสูง เนื่องจากตั้งอยู่ในพื้นที่ติดทะเล โดยโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีได้ลงทุนในการสร้างโรงผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลด้วยวิธีการผลิตน้ำจืดและน้ำ ประปาจากน้ำทะเลด้วยระบบกรองน้ำ โดยใช้ระบบรีเวิร์สออสโมซิส (The Reverse Osmosis Seawater Desalination Plant :ROSDP) กำลังการผลิต 1,000 ลบ.ม./วัน เพื่อบรรเทาวิกฤตการณ์น้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกให้เพียงพอต่อภาคประชาชนและเกษตรกรรมสามารถลดปริมาณการใช้น้ำจืดในพื้นที่มาใช้ลงทั้งหมด (ร้อยละ 100) ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา สำหรับโรงไฟฟ้าเอชพีซีถึงแม้ว่าจะมีความเสี่ยงด้านการขาดแคลนน้ำ ในระดับต่ำ แต่โรงไฟฟ้าได้มีการวางแผนการบริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำในพื้นที่ ได้แก่ แหล่งน้ำเลือก และแหล่งน้ำแก่น โดยดำเนินการศึกษาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญและนำโมเดลมาใช้ในการพยากรณ์สมดุลน้ำในพื้นที่ กำหนดตัวชี้วัดปริมาณน้ำในจุดต่างๆ เพื่อเฝ้าระวังและกำหนดมาตรการที่เหมาะสม รวมถึงสร้างบ่อพักน้ำ ภายในพื้นที่เพื่อควบคุมคุณภาพน้ำและนำกลับมารีไซเคิล
โรงไฟฟ้า Temple I มีบ่อกักเก็บน้ำขนาด 10 เอเคอร์ (ประมาณ 40,000 ตารางเมตร) ภายในบริเวณพื้นที่ของโรงไฟฟ้า เพื่อใช้กักเก็บน้ำที่นำกลับมาใช้ใหม่จากโรงบำบัดน้ำเสียที่ให้บริการแก่ชุมชนรอบโรงไฟฟ้า น้ำที่นำกลับมาใช้ใหม่นี้เป็นแหล่งน้ำหลักที่ช่วยลดการปล่อยน้ำเสียลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติในบริเวณใกล้เคียง ทำให้โรงไฟฟ้าสามารถใช้น้ำเพื่อใช้อุปโภคได้เพียงพอต่อความต้องการ โดยมีต้นทุนต่ำกว่าแหล่งน้ำบาดาลหรือน้ำที่ใช้ในการบริโภคอื่นๆ
โรงไฟฟ้า Temple I บำบัดน้ำในเบื้องต้นด้วยวิธีการทางชีวภาพ โดยเลี้ยงปลาซึ่งกินพืชและสาหร่ายเป็นอาหาร จึงช่วยควบคุมปริมาณสาหร่ายและความเป็นกรด-ด่างของน้ำ ส่งผลให้สามารถลดปริมาณสารเคมีที่ใช้ในการบำบัดน้ำได้อย่างมีนัยสำคัญ จากนั้นน้ำจะถูกนำเข้าสู่ระบบบำบัด Zero-Liquid Discharge (ZLD) ของโรงไฟฟ้าเพื่อให้มีคุณภาพตามมาตรฐาน สามารถนำไปใช้ในกระบวนการผลิตของโรงไฟฟ้าต่อไป
จากการบริหารจัดการน้ำในโรงไฟฟ้า Temple I แบบองค์รวม ทำให้โรงไฟฟ้าสามารถสำรองปริมาณน้ำใช้ได้อย่างพอเพียงและไม่มีการปล่อยน้ำเสียจากการผลิตออกสู่ลุ่มน้ำเท็กซัส
ประโยชน์ที่ได้รับ
- ใช้วิธีการทางชีวภาพในการบำบัดน้ำ ทำให้สามารถลดการใช้สารเคมี Sodium Hypochlorite (NaClO) เพื่อบำบัดน้ำเสีย ปริมาณ 200 ตัน/ปี หรือลดค่าใช้จ่ายราว 648,912 เหรียญสหรัฐ
- ลดปริมาณการปล่อยน้ำเสียได้ราว 1.95 เมกะลิตร/ปี
- ลดผลกระทบจากการดึงทรัพยากรน้ำธรรมชาติในพื้นที่มาใช้
- สร้างทัศนคติที่ดีต่อชุมชน