นวัตกรรมในบริบทของบ้านปู เพาเวอร์ คือ การออกแบบและการเลือกใช้เทคโนโลยีประสิทธิภาพสูง สะอาด ที่เหมาะสมกับแต่ละโครงการ และการคิดริเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงาเพื่อให้การปฏิบัติงานที่ดำเนินการอยู่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ด้วยการศึกษาเพื่อปรับปรุงกระบวนการ ซึ่งอาจรวมถึงการใช้เทคโนโลยีใหม่มาประยุกต์ใช้กับงานปัจจุบัน ซึ่งการพัฒนากระบวนการผลิตและนวัตกรรมนับเป็นหัวใจสำคัญที่เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในกระบวนการผลิต การจัดการห่วงโซ่อุปทานและการขายพลังงาน
บริษัทฯ ใช้แนวคิดการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานที่เป็นเลิศ (Operational Excellence) ร่วมกับนวัตกรรมเข้าด้วยกันโดยอาศัยการมีส่วนร่วมของพนักงานทุกระดับที่จะร่วมกันบ่งชี้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในการทำงาน ค้นหาสาเหตุของปัญหานั้นผ่านกระบวนการที่เป็นระบบ และดำเนินการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ด้วยเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพิ่มเสถียรภาพในการผลิต ลดต้นทุนและความสูญเสียในกระบวนการผลิต การดำเนินงานเริ่มจากการจัดอบรมเพื่อให้พนักงานทุกคนมีความสามารถในการบ่งชี้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการทำงานที่ตนเองรับผิดชอบ โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานกลาง รวมถึงมีการจัดให้มีการแลกเปลี่ยนระหว่างหน่วยธุรกิจเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันและพนักงานมีโอกาสนำเสนอโครงการที่ตนเองคิดและนำไปปฏิบัติจนเกิดประโยชน์
บริษัทฯ ผลักดันนวัตกรรมผ่านการสร้างวัฒนธรรมองค์กร โดยค่านิยม นวัตกรรม (Innovative) เป็นหนึ่งในสามค่านิยมหลัก มีการส่งเสริมนวัตกรรมผ่านทางกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้พนักงานทุกคนเข้าใจถึงความสำคัญของการนำนวัตกรรมมาใช้ บริษัทฯ ส่งเสริมให้พนักงานนำเสนอแนวความคิดและนวัตกรรม เพื่อนำไปสู่การนำไปปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง อีกทั้งส่งเสริมการเรียนรู้ในองค์กรในรูปแบบ Learning Application Project ที่ส่งเสริมให้พนักงานจากหลายหน่วยงานร่วมกันทำโครงการโดยใช้ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม แล้วนำเสนอคณะกรรมการเพื่ออนุมัติงบประมาณในการดำเนินโครงการ
บริษัทฯ จัดตั้ง Innovation Committee ซึ่งเป็นตัวแทนของพนักงานที่มีหน้าที่ในการส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมขึ้นในองค์กร นอกจากนี้ ยังมีการแลกเปลี่ยนนวัตกรรมภายในองค์กรโดยการบริหารจัดการความรู้ และการจัดงาน Innovation Convention เป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ อีกทั้งเป็นการแสดงผลการดำเนินงานที่โดดเด่นของพนักงานในการดำเนินโครงการนวัตกรรม
บริษัทฯ มีกลไกในการคัดกรองโครงการพัฒนากระบวนการผลิต นวัตกรรม และโครงการด้านดิจิทัลต่าง ๆ โดยพิจารณาอย่างรอบด้านโดยใช้เกณฑ์การประเมินความคุ้มค่าทั้งทางด้านการลงทุน ความเสี่ยง ผลตอบแทนทั้งในด้านการเงินและประเด็นการปรับปรุงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (Environmental, Social, Governance: ESG) รวมถึงความยั่งยืนและการขยายผลไปสู่การดำเนินงานในหน่วยการผลิตอื่น ๆ
กลุ่มบ้านปูให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานไปสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) ด้วยความตระหนักถึงการดำเนินงานในอนาคตที่เทคโนโลยีดิจิทัลจะมีบทบาทสำคัญในการสร้างความสามารถในการแข่งขันตามกลยุทธ์ Greener Smarter กำหนดเกณฑ์ในการคัดเลือกเทคโนโลยีและพัฒนาระบบสารสนเทศให้มีความเหมาะสมต่อ 1)ระดับความจำเป็นต่อธุรกิจ 2)ตรงตามวัตถุประสงค์ และ3) มีโอกาสรับรู้ผลตอบแทนอย่างรวดเร็ว อีกทั้งต้องมีการวางโครงสร้างพื้นฐานให้มีความคล่องตัวสูงเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ สร้างระบบการป้องกันความเสี่ยงด้านความปลอดภัยสารสนเทศ (Cyber security) เนื่องจากธุรกิจไฟฟ้าเป็นส่วนด้านความมั่นคงในพื้นที่ซึ่งอาจเป็นเป้าหมายการคุกคามทางไซเบอร์ จึงจำเป็นต้องมีการตรวจประเมินความเสี่ยง ทดสอบความปลอดภัย และกำหนดมาตรการป้องกันให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ และกำหนดให้มี Global Information Security Officer (GISO) ให้มีหน้าที่และความรับผิดชอบครอบคลุมทั้งกลุ่มบ้านปู ในการกำกับดูแล ความปลอดภัยของข้อมูล (information security) ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (digital technology risk) และการปฏิบัติตามกฎหมาย
เนื่องจากเทคโนโลยีดิจิทัลได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและการทำงานของมนุษย์เราอย่างมากมาย ดังนั้นการขับเคลื่อนองค์กรสู่ยุคดิจิทัลจึงถือเป็นวาระสำคัญของกลุ่มบ้านปูและบ้านปู เพาเวอร์ ในฐานะเป็นหนึ่งในปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญต่อการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ Greener & Smarter
เพื่อสะท้อนความก้าวหน้าเส้นทางการขับเคลื่อนองค์กรสู่ยุคดิจิทัลอย่างสมบูรณ์ของกลุ่มบ้านปู ที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2561เป็นต้นมา กลุ่มบ้านปูได้ทำการประเมินระบบดิจิทัล ระบบอัตโนมัติ และระดับการวิเคราะห์หรือการประมวลผลในระดับกลุ่มของบริษัท รวมถึงการเชื่อมต่อเครื่องจักรและระบบอุตสาหกรรมเข้ากับอินเทอร์เน็ตเพื่อที่จะนำเอาข้อมูลมาเฝ้าดู ประมวลผล และวิเคราะห์เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิตและลดค่าใช้จ่าย (industrial-internet-of-things หรือ IIoT) โดยได้ดำเนินการประเมินแนวปฏิบัติด้านการบริหารจัดการ จำนวน 4 ด้าน ประกอบด้วย
- กลยุทธ์
- วัฒนธรรมองค์กร
- โครงสร้างและกระบวนการภายในที่เหมาะสม
- ทักษะทางด้านดิจิทัลและความสามารถทางด้านเทคโนโลยี
การประเมินแนวทางปฏิบัติด้านการบริหารจัดการนั้น บริษัทฯ นำเครื่องมือวินิจฉัยตนเองที่ออกแบบและพัฒนาโดยหนึ่งในบริษัทที่ปรึกษาด้านดิจิทัลชั้นนำระดับโลกมาใช้ดำเนินการ ซึ่งช่วยให้บริษัทฯ ค้นพบโอกาสทางด้านดิจิทัลและสามารถระบุช่องว่างระหว่างความสามารถในปัจจุบันกับเป้าหมายสุดท้ายในการเป็นองค์กรชั้นนำที่ขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล ซึ่งวิธีการดังกล่าวได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นที่ยอมรับจากบริษัทกว่า 550 แห่งในหลากหลายอุตสาหกรรมทั่วโลกที่ใช้เครื่องมือนี้สำหรับประเมินแนวทางปฏิบัติด้านการบริหารจัดการขององค์กร นอกจากนี้บริษัทพลังงาน บริษัทก๊าซ และเหมืองแร่มากกว่า 80 แห่งถูกนำมาใช้ในการทดสอบเปรียบเทียบโดยเครื่องมือดังกล่าว
สำหรับในระดับหน่วยการผลิตของบ้านปู เพาเวอร์นั้น โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมเจิ้งติ้งได้กลายเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมแห่งแรกของจีนที่ได้รับการประเมินโดยใช้ดัชนี ความพร้อมทางด้านอุตสาหกรรมอัจฉริยะ (Smart Industry Readiness Index: SIRI) ซึ่งพัฒนาและริเริ่มโดยคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจสิงคโปร์ (Singapore Economic Development Board: EDB) ร่วมกับเครือข่ายบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ บริษัทที่ปรึกษา และผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมและวิชาการ ทั้งนี้ดัชนี SIRI ประกอบด้วยชุดโครงสร้างและเครื่องมือที่จะช่วยผู้ผลิต (โดยไม่คำนึงถึงขนาดและประเภทของอุตสาหกรรม) ในการเริ่มต้น ปรับขนาด และรักษาเส้นทางการเปลี่ยนแปลงสู่อุตสาหกรรมการผลิต 4.0 ได้ ทั้งนี้โรงไฟฟ้าเจิ้งติ้งมีประเด็นที่ต้องปรับปรุงเพียง 4 มิติจาก 16 มิติ ของดัชนี SIRI ซึ่งช่วยระบุลำดับความสำคัญในการพัฒนาการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าเจิ้งติ้งในปัจจุบัน
เร่งเครื่องการขับเคลื่อนสู่ระบบดิจิทัลด้วยการใช้ Low-Code Platform:
แอปพลิเคชันที่ออกแบบโดยผู้ใช้ด้วยการใช้ Low-Code Platform เช่น Microsoft PowerApps และ Microsoft Power BI นั้น เป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มกระบวนการทางธุรกิจให้เข้าสู่ระบบดิจิทัลทั่วทั้งกลุ่มบ้านปู โดยแอปพลิเคชันเหล่านี้ให้ข้อมูลที่มีโครงสร้างสำหรับการวิเคราะห์ การแสดงภาพ และการสนับสนุนการตัดสินใจเพิ่มเติม ซึ่งก่อนหน้านี้แอปพลิเคชันต่างๆ ไม่สามารถดำเนินการได้หรือไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
กระบวนการอัตโนมัติของหุ่นยนต์ และเครือข่าย IIoT ซึ่งเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มข้อมูลบนระบบคลาวด์และเครื่องมือการแสดงภาพ ช่วยให้บริษัทฯ สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพและความถูกต้องความแม่นยำในการรวบรวม วิเคราะห์ และรายงานข้อมูลด้าน ESG ได้อย่างมหาศาล ตั้งแต่พนักงานระดับปฏิบัติการณ์ที่อยู่หน้างานไปจนถึงผู้มีส่วนได้เสีย โดยแอปพลิเคชันที่บ้านปู เพาเวอร์ ใช้ในการดำเนินงานในกรณีต่างๆ อาทิ
- Blink: แอปพลิเคชันสำหรับรวบรวมข้อมูลและรายงานความยั่งยืน
- IRIS: แอปพลิเคชันสำหรับข้อมูลการตลาดของห่วงโซ่อุปทานถ่านหิน
- ENIGMA: แอปพลิเคชันสำหรับแดชบอร์ดการตรวจสอบสินทรัพย์ของบ้านปู เพาเวอร์ ที่มุ่งเน้นไปที่สินทรัพย์การผลิตพลังงานหมุนเวียน
การปรับองค์กรสู่ยุคดิจิทัลทำให้เกิดสตูดิโอดิจิทัลที่คล่องตัวภายในองค์กร
ความสำคัญของดิจิทัลและการเปลี่ยนผ่านสู่สภาพแวดล้อมการทำงานที่ใช้เทคโนโลยีเป็นหลักนั้น มีอยู่ในทุกมุมโลก ดังนั้นการดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถอันเหมาะสมยังคงเป็นความท้าทายที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในทุกธุรกิจ ดังนั้นการเพิ่มทักษะและการสร้างทักษะใหม่ให้กับพนักงานที่มีอยู่ ซึ่งเป็นผู้ที่เข้าใจวัฒนธรรมองค์กรอย่างลึกซึ้งและมีประสบการณ์ตรงในกระบวนการทางธุรกิจตามหน้าที่และสายงาน จึงถือเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่สถานที่ทำงานแห่งอนาคต
โรงไฟฟ้าเอชพีซี ใน สปป. ลาวประสบความสำเร็จในการดำเนินโครงการปรับปรุงหม้อไอน้ำระยะที่ 1 ที่มุ่งเน้นการกำหนดค่าใหม่และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากเซ็นเซอร์เสียงที่มีอยู่ กระบวนการทั้งหมดนี้ซึ่งเริ่มตั้งแต่การวินิจฉัยจนถึงการจัดลำดับความสำคัญ การวางแผนเวิร์คสตรีมและการลงมือปฏิบัตินั้น ดำเนินการโดยทีมงานภายในโรงไฟฟ้าที่มีความกระตือรือร้น โดยถือเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ นอกจากนี้ในระยะที่ 2 นี้ จะเริ่มใช้ระบบดิจิทัลในการพยากรณ์การทำงานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่สำคัญในโรงไฟฟ้ารวมถึงวางรากฐานการดำเนินงานในหน่วยการผลิตที่มีลักษณะการทำงานแบบเดียวกัน
อนาคต
ในปีต่อๆ ไป เส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ การใช้เทคโนโลยีที่สะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจะยังคงเป็นแกนหลักในการดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจของการดำเนินงานของบริษัทฯ โดยดำเนินกลยุทธ์ Greener & Smarter ตั้งแต่ในปี 2558 และการดำเนินโครงการ Digital Transformation ในปี 2561 เป็นต้นมา ส่งผลให้กลุ่มบ้านปู มุ่งเน้นและพยายามขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในการลดคาร์บอนจากเชื้อเพลิงฟอสซิลในห่วงโซ่คุณค่าด้านพลังงานของกลุ่มบริษัท ตลอดจนปรับปรุงด้านความปลอดภัยในการดำเนินงานของหน่วยธุรกิจทั้งหมดของบริษัทฯ รวมถึงชุมชนโดยรอบ ซึ่งเครือข่ายของ ศูนย์พัฒนาศักยภาพด้านดิจิทัล (Digital Capability Center หรือ DCC) ที่กรุงปักกิ่งและโรงไฟฟ้าหลวนหนาน ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางด้านนวัตกรรมและการมีส่วนร่วมในระบบนิเวศของบริษัทฯ เพื่อสานต่อการเดินทางสู่องค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลที่ในอนาคต
บ้านปู เพาเวอร์ จะยังคงดำเนินโครงการพัฒนาทักษะใหม่ๆ ต่อไป ผ่าน Banpu Digital Academy (BDA) ปรับปรุงวิธีการทำงานร่วมกันของพนักงานในสภาพแวดล้อมการทำงานในยุคดิจิทัล ผ่านการปรับปรุงการออกแบบประสบการณ์ของผู้ใช้/ส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ (user experience/user interface: UX/UI) อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งแสวงหาโอกาสการเติบโตใหม่ด้วยการประยุกต์ใช้ผลการดำเนินงานด้านดิจิทัลของบริษัทฯ ให้สามารถนำไปใช้งานกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์เชิงพาณิชย์จากผลงานด้านดิจิทัลของบริษัทฯ
ตัวอย่างหลักสูตรของ BDA: Scrum 101, การคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking), ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity), การคิดเชิงออกแบบและนวัตกรรมเพื่อธุรกิจ (Design Thinking and Innovation for Business) หลักการสร้างสตาร์ทอัพยุคใหม่ (New Lean Startup Principle) การจัดการผลิตภัณฑ์ขั้นพื้นฐาน (Product Management Fundamental) และ บทนำสู่การวิเคราะห์ธุรกิจ (Introduction to Business Analytics)
บริษัทฯ มีการดำเนินโครงการนวัตกรรมโดยมีเป้าหมายหลักในการสร้างความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มประสิทธิภาพและเสถียรภาพในระยะยาว โดยในปีที่ผ่านมาพบว่า การดำเนินงานด้านการปรับปรุงกระบวนการผลิตและนวัตกรรม ส่งผลให้โรงไฟฟ้าที่บริษัทฯ มีอำนาจในการบริหารจัดการโดยตรงมีดัชนีความพร้อม และดัชนีหยุดซ่อมฉุกเฉินเป็นไปตามเป้าหมาย สามารถดำเนินการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพและมีเสถียรภาพตามเป้าหมาย อาทิ
- โครงการนำความร้อนที่เหลือจากก๊าซเสียมาใช้ประโยชน์ต่อของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมหลวนหนาน (Waste heat recovery by utilizing de-white facility)
- โครงการอนุรักษ์พลังงานความร้อนให้มีประสิทธิภาพสูงสุดของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมเจิ้งติ้ง
- โครงการเพิ่มความพร้อมในการผลิตของโรงไฟฟ้า Temple I
- โครงการซอฟต์แวร์ตรวจสอบและแจ้งเตือนการรั่วไหลของท่อในหม้อไอน้ำ (ALMA: Advanced Leakage Monitoring and Alerting Software)
- โครงการการเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้ของหม้อไอน้ำโรงไฟฟ้าเอชพีซี
- การปรับปรุงโครงสร้างเพื่อป้องกันสภาพภูมิอากาศรุนแรงของสถานีสูบนํ้าในระบบการผลิตนํ้าบริสุทธิ์ที่ โรงไฟฟ้า Temple
- การปรับปรุงการผลิตไฟฟ้าด้วยการติดตั้งระบบหล่อเย็นเสริมให้หม้อแปลงไฟฟ้า
- การเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์การผลิตไฟฟ้าด้วยการติดตั้งอุปกรณ์พยากรณ์ SkyCam
- การตรวจสอบหม้อไอนํ้าโดยใช้เกณฑ์ความเสี่ยงเป็นตัวกำหนดแผนการตรวจสอบ (Risk Based Inspection: RBI)
เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นหนึ่งในปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญต่อการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ Greener & Smarter ขององค์กร กลุ่มบ้านปูจึงเริ่มการดำเนินงาน Digital Transformation ตั้งแต่ปี 2561เป็นต้นมา โดยได้จัดตั้งหน่วยงานเพื่อการพัฒนาด้านดิจิทัล เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ยุคดิจิทัลอย่างสมบูรณ์
ปัจจุบันบริษัทฯ มีธุรกิจผลิตไฟฟ้าในจีนที่มีความหลากหลายทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุน เนื่องจากแต่ละหน่วยธุรกิจจัดตั้งขึ้นมาในเวลาที่ต่างกันจึงมีความแตกต่างกันทั้งทางด้าน เทคโนโลยีที่ใช้ในกระบวนการผลิต เครื่องจักร อุปกรณ์ สิ่งเหล่านี้ทำให้พนักงานต้องใช้เวลานานในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อใช้ในการบริหารงานและตัดสินใจทั้งในระดับปฏิบัติการและภาพรวมของการบริหาร อีกทั้งแอปพลิเคชันที่มีอยู่ในท้องตลาดนั้นยังไม่ตรงต่อความต้องการและมีราคาแพง
จากโครงการพัฒนาศักยภาพพนักงานด้านดิจิทัล ทำให้พนักงานในระดับปฏิบัติการและวิศวกร สามารถต่อยอดองค์ความรู้เดิมที่มีโดยมีทักษะด้านการพัฒนาด้านดิจิทัลเพิ่มขึ้น ปัจจุบันพนักงานของบริษัทฯ สามารถพัฒนา บำรุงรักษา และปรับปรุงระบบสารสนเทศที่ใช้ในการตรวจติดตามประสิทธิภาพในการผลิตให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ได้ด้วยตนเอง อีกทั้งมีการนำเสนอในรูปแบบ visualization ที่สามารถสื่อสารข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้พนักงานสามารถตัดสินใจในการทำงานได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายราว 50,000 หยวน/ปี อีกทั้งพนักงานสามารถตรวจสอบความผิดปกติของการผลิตได้อย่างรวดเร็ว ทำให้จำกัดความเสียหายและเป็นเครื่องมือในการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำเอื้อประโยชน์ต่อการทำงานร่วมกัน
ประโยชน์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการที่บริษัทฯ สามารถพัฒนาศักยภาพพนักงานปฏิบัติการและวิศวกรในหน่วยธุรกิจที่มีความชำนาญในด้านต่าง ๆ ในธุรกิจไฟฟ้า ให้มีทักษะด้านดิจิทัลเพิ่มขึ้นและต่อยอดไปสู่การเรียนรู้ทักษะด้านดิจิทัลขั้นสูงเพิ่มเติม อาทิ ด้านวิทยาการข้อมูล (data science) การวิเคราะห์ข้อมูล (data analysis) และการนำเสนอข้อมูล (data-visualization) เพื่อนำไปพัฒนาโครงการด้านดิจิทัลของบริษัทฯ ตามกลยุทธ์ Greener & Smarter
ปัจจุบันมีพนักงานในจีน 8 คนที่ได้รับการพัฒนาศักยภาพและมีทักษะด้านดิจิทัลเพียงพอที่จะเป็นผู้ที่ช่วยผลักดันโครงการด้านดิจิทัลกว่า 70 โครงการในอนาคต การขับเคลื่อนนี้เกิดจากการสร้างวัฒนธรรมองค์กร “นวัตกรรม” มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จนเป็นที่ยอมรับจากผู้มีส่วนได้เสียในท้องถิ่น และภาครัฐ
โรงไฟฟ้าเอชพีซีได้ดำเนินการพัฒนาซอฟต์แวร์ตรวจสอบและแจ้งเตือนการรั่วไหลของท่อในหม้อไอน้ำ เพื่อสามารถมีเวลาในการเตรียมงานซ่อมล่วงหน้า ลดการสูญเสียรายได้จากการหยุดการผลิตนอกแผน
ซอฟต์แวร์ตรวจสอบและแจ้งเตือนการรั่วไหลของท่อในหม้อไอน้ำได้มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลในส่วนของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligent: AI) มาช่วยตรวจจับการรั่วไหลของท่อในหม้อไอน้ำ ทำให้สามารถรับรู้สัญญาณการรั่วไหลได้เร็วกว่าปกติ โดยพัฒนาโมเดลขึ้นจากข้อมูลสถิติของเครื่องจักร และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ การจับสัญญาณเสียง ปริมาณน้ำที่เติมเข้าไปในระบบ (make up water consumption) จากนั้นระบบ ALMA จะส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปยังพนักงานฝ่ายผลิต ทำให้โรงไฟฟ้าสามารถตัดสินใจวางแผนล่วงหน้าในการซ่อมบำรุง รวมถึงสามารถลดการสูญเสียไม่ให้ลุกลามเพิ่มขึ้น
การพัฒนาซอฟต์แวร์ได้รับความร่วมมือจากแผนกซ่อมบำรุงหม้อไอน้ำของโรงไฟฟ้าเอชพีซี 1 คน ผู้รับเหมาผลิตและซ่อมบำรุง 3 คน พนักงานบริษัทฯ และกลุ่มบ้านปู 4 คน ร่วมกับที่ปรึกษาจากภายนอก จากการดำเนินการพบว่าสามารถแจ้งเตือนการรั่วไหลของท่อในหม้อไอน้ำได้ล่วงหน้า 3-5 วัน ซึ่งทำให้โรงไฟฟ้ามีเวลาในการเตรียมงานซ่อมและลดการสูญเสียจากค่าปรับเนื่องจากโรงไฟฟ้าแจ้งหยุดการผลิตนอกแผนกระชั้นชิด ประมาณ 5 ล้านบาท ต่อ ครั้ง หรือราว 14.4 ล้านบาทต่อปี (จากข้อมูลสถิติในปี 2564-2565) นอกจากนี้ ซอฟต์แวร์ยังมีฟังค์ชันในการปรับปรุงโมเดลให้มีความเที่ยงตรงยิ่งขึ้น เมื่อมีการเก็บข้อมูลการผลิตเพิ่มขึ้นในอนาคต